คำว่า “ทุ่งใหญ่” สิ่งแรกที่หลายๆคนต่างคิดเมื่อได้ยินชื่อนี้คือ ต้องเป็นพื้นที่ที่เป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ และมีสัตว์ป่าอยู่มากมายราวกับฉากในหนังการ์ตูนเรื่อง The Lion King เรื่องที่ผมจะเอามาเล่าสู่กันฟังในคราวนี้จึงเป็นบางเรื่องราวเกี่ยวกับทุ่งหญ้าที่เป็นที่มาของคำว่า ทุ่งใหญ่ ผ่านทางสายตาและมุมมองของผม ผมได้มีโอกาสได้เดินลาดตระเวนร่วมกับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอยู่บ่อยครั้งแต่เรื่องที่จะยกมาเล่าในครั้งนี้เป็นคราวที่ผมได้ไปเดินร่วมกับหน่วยพิทักษ์ป่าชั่วคราวเซซาโว่ ซึ่งในภาษากระเหรี่ยงแปลว่า ลูกไม้ที่มีสีแดง (14-18 มีนาคม 2558)
เขาพระฤาษี – 103, 1 2 3 ว.16 ผมพูดกับสถานีแม่ข่ายวิทยุของเขตฯทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตกผ่านวิทยุสื่อสารยี่ห้อ i-com ที่พกติดตัวมาด้วย ผ่านไม่ถึงนาทีก็ได้ยินเสียงตอบกลับเป็นภาษาไทยสำเนียงกะเหรี่ยงว่า ว.16-5 ครับ 103 ซึ่งทางภาษาวิทยุรหัสที่ผมกล่าวข้างต้นคือการเช็คว่าจากจุดที่เราอยู่ สถานีแม่ข่ายสามารถรับฟังได้ชัดเจนขนาดไหน โดยมีตั้งแต่ระดับ 1-5 ตามความชัดเจนที่รับได้ (เป็นเรื่องปกติของการทำงานในป่าที่จะได้ยินรหัสต่างๆ ผ่านทางวิทยุสื่อสารเพราะนั่นคือช่องทางเดียวที่เราสามารถติดต่อ ส่งข่าวสารให้กันได้โดยต้องผ่านสถานีแม่ข่ายมาอีกทอดนึง) ผมคุยกับเขาพระฤาษีอยู่บนยอดเขาที่สูง 1,127 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งพื้นที่สูงเป็นจุดที่รับและส่งสัญญาณได้อย่างดีเยี่ยม หลังจากเดินลาดตระเวนผ่านมาแล้ว 3 วัน จนเดินขึ้นมาอยู่บนยอดเขาลูกนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะถามข่าวคราวจากทุ่งใหญ่ผ่านเขาพระฤาษี และนั่งพักความล้าของขาที่ถูกแรงดึงดูดของโลกดึงเอาไว้ตอนขึ้นเขา แต่สาเหตุสำคัญคงจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เมื่อพักจนหายเหนื่อยผมลุกจากกระเป๋าความจุ 55 ลิตร หลังจากนั่งทับมันมาสักพัก ตอนนี้ถึงเวลาที่มันจะทับอยู่บนไหล่ของผมต่อ เราออกเดินกันต่อตามสันเขาลงไปจนไปสุดที่ทุ่งหญ้าที่มีชื่อเรียกว่า “สะดือทุ่ง”
ส่วนใหญ่หญ้าในทุ่งจะเป็นหญ้าคาที่จะมีขนาดสูงและคมมากเมื่อโตเต็มที่จากน้ำฝนในหน้าฝน แต่ช่วงเราเดินเป็นช่วงหน้าแล้งซึ่งไฟป่าเพิ่งเริ่มจะมอดลงทำให้สะดือทุ่งที่เราเดินผ่านเตียนราบจากความแรงของลมและไฟ และมองเห็นได้ไกลสุดลูกหูลูกตาสลับไปกับยอดเขาหินปูนสูงชัน และด้วยธรรมชาติของหญ้านั้นเมื่อถูกไฟไหม้จะระบัดยอดใหม่จากเหง้าเดิมที่ยังฝั่งอยู่ใต้ดินซึ่งเป็นอาหารอย่างดีของสัตว์ป่าโดยเฉพาะ สัตว์กีบ ซึ่งทุ่งอย่างเป็นไปตามระบบนิเวศน์ตามปกติ เราเดินตัดผ่ากลางทุ่งที่เตียนเสมอข้อเท้ามาเพื่อย่นระยะเวลาจนมาถึง บ่อน้ำกลางทุ่ง ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องแปลกที่มีบ่อน้ำที่มีน้ำตลอดทั้งปีอยู่กลางพื้นที่โล่งแจ้งคล้ายๆกับ Oasis ในทะเลทราย ถ้าให้ผมเดา น้ำที่มีอยู่นั้นคงเป็นน้ำที่ไหลเวียนอยู่ใต้โพรงหินปูนใต้ดินเนื่องจากบริเวณนั้นผมสังเกตุเห็นเขาหินปูนอยู่มากทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามผมยังไม่เคยได้ยินคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับบ่อน้ำนั้น จะมีก็แต่เรื่องเล่าเกี่ยวกับความเชื่อของคนท้องถิ่นที่เรียกว่า “บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์”
เย็นวันนั้นเราได้พักค้างแรมที่บ่อน้ำ ผมและเจ้าหน้าที่ต่างก็นำเสบียงและยอดผักต่างๆที่เก็บกันมาตลอดทางมาประกอบอาหารเย็น ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่คนหนี่งหยิบปืน HK33 กับกล้องกึ่ง DSLR 1 ตัวออกไปเดินตรวตราในระแวกทุ่ง เมื่ออาหารเย็นเสร็จพี่ ชัยพร สังคโลก (หัวหน้าหน่วยฯชั่วคราวเซซาโว่) ก็กลับมาพร้อมกับเอากล้องมายื่นให้ผมดูพร่อมกับพูดว่า “เขารู้ว่าเรามา เลยออกมาให้ดู” ผมเปิดกล้องดู ภาพล่าสุดที่ถ่ายได้คือภาพกระทิง 4-5 ตัวที่มาหากินอยู่ในทุ่ง ผมค่อนข้างตื่นเต้นที่รู้ว่ามีกระทิงเขามาหากินในระแวกที่เราข้างแรม และประทับใจกับความสามารถในการถ่ายรูปของเจ้าหน้าที่ทุ่งใหญ่ ทำให้เย็นนั้นเต็มไปด้วยการเล่าเรื่องประสบการณ์การพบเจอสัตว์ป่าต่างๆระหว่างการทำงานของเจ้าหน้าที่ เมื่อฟ้าเริ่มมืดและกาแฟไฟเริ่มออกฤทธิ์ ก็เป็นเวลาเหมาะสมที่จะแยกย้ายกันพักผ่อนเพื่อทำหน้าที่ต่อในวันรุ่งขึ้น
ประสบการณ์ที่ได้เห็นและได้ยินมาในวันนั้นยังทำให้ผมประทับใจจนถึงวันนี้ และผมคิดเสมอว่าประสบการณ์ที่พวกเขาได้พบเจอสัตว์ป่าต่างๆที่เอามาเล่าสู่กันฟังนั้นก็เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จและความภูมิใจของการทำหน้าที่พิทักษ์ป่า และทำให้พวกเขาได้มีโอกาสพบปะกันอยู่เป็นประจำ และนี่คือเรื่องเล่าจากสะดือทุ่งที่ผมอยากแบ่งปันครับ
Peerawit Amorntiyangkul